แสงสีทองอันจรดขอบฟ้าเวลาเย็น เป็นอีกหนึ่งสิ่งซึ่งผมหนีมาตลอดเวลา
-----
ตะวันลับฟ้า เป็นช่วงเวลาที่ทั้งอิ่มเอม และเศร้าโศรก
ไม่รู้ใครจะเป็นอย่างผมหรือไม่
แต่ส่วนตัวผมจะใช้ช่วงเวลานี้ อยู่กับงาน กับเพื่อน
หรือ ใช้มันไปกับสวน (สมัยที่มีแม่บ้าน)
จนกระทั่ง ความมืดมิด ปกคลุม
และเสียงเล็กๆ ดังจากบ้าน เรียกกลับเข้าเรือนนอน
.
มันเป็นอย่างนี้มาพักหนึ่ง กระทั่ง
ผมทำลายเสียงเล็กๆนี้ลง
และแลกกับอิสระภาพ
อิสระภาพที่ผมไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นความสุข
บนความอ้างว้างเช่นนี้
.
เวลาไม่เคยเดินถอยหลัง ทุกอย่างเดินหน้าเสมอ
แสงสีทองจับขอบฟ้ายามเย็น
ยังฉายแสง สาดส่องตรงเวลา เช่นทุกวัน
.
เย็นวานหลังจากกลับบ้าน
ผมเก็บภาพความงามได้บางส่วน
และครุ่นคิดว่า เรากำลังหลบลี้สิ่งใด
.
.
บางที หัวใจของผม ก็โหยหาการเดินทางไกล
การทำงานหนัก ช่วยปลอบประโลมใจ
ช่วยทำให้ความรู้สึกที่ขาดหาย
กลับสมบูรณ์ขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่จะพร่องไปอีกคราว
.
หลังจาก การสอบบรรจุข้าราชการจบลง
ผมยอมรับว่า ชีวิตเปลี่ยนไปหลายอย่าง
และ รู้สึก อ้างว้าง สับสน กังวล .. ไร้เป้าหมาย
.
บางทีเหมือน สิ่งที่อยากคิดอยากทำ
อยากเคลื่อนไหวต่อ มันดูลางเลือน
ความไม่ชัดเจน เป็นสิ่งเดียวที่ผม หวั่งเกรง
คงคล้ายกับตะวันจับขอบฟ้าที่จะสว่างก็ไม่
แต่ จะมืดมิดไปก็ยังก่อน
.
.
ชีวิตของคนเราเปรียบเช่นการเดินทาง
การเดินทางที่ต้องอาศัยต้นทุนที่เป็นเวลา ประสบการณ์
จนได้ผลลัพธ์บางอย่าง ที่จะส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป
.
บางที ผมพยายามหลีกกายเร้นแสงแห่งการเปลี่ยนไป
แต่ใต้ขอบฟ้าที่กว้างใหญ่ ไม่มีสิ่งใดฝืน ธรรมชาติได้
.
ชีวิตเราก็คงไม่ต่างกัน สิ่งใดจะเกิดขึ้น ก็คงต้องเกิดขึ้น
สิ่งใดจะสิ้นสุดลง ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกาล
และเมื่อทุกอย่าง สิ้นสุดลง มันจึงเป็นเวลาของการเริ่มต้นใหม่
.
แสงแห่งอรุณ์ ยังมาไม่ถึง ราตรีก็พึ่งจะเข้าปกคลุม
ทุกอย่างที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง
ล้วนทำให้ความรู้สึก สับสน ไร้ที่พึ่ง
บางที การเขียน จากนี้ไป
อาจดูเลื่อนลอย เพ้อภพ แต่ ..
.
มันอาจเป็นการเขียนที่เยียวยาความรู้สึกที่ขาดหาย
และหากเพื่อนๆจะให้เกียรติ เพียงแค่อ่านแล้วผ่านไป
เท่านั้นก็พอครับ
.
28 กรกฎาคม 2562
